ปัว อำเภอน่าอยู่

จากชีวิตข้าของแผ่นดินกับการเดินทางจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมัคลาภิเษก มาเป็นครูตัวเล็กๆ ของโรงเรียนปัว ที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอนี้หรืออาจถือได้ว่าเป็นโรงเรียนระดับอำเภอที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดน่าน มาครั้งแรกเราก็คนน่านนี่ มาดูซิว่าเมืองปัวหรือวรนครนี้มีอะไรที่เราต้องเรียนรู้บ้าง พอมาถึงก็ได้สัมผัสกับมิตรภาพที่ดีของคนเมืองปัว จากหนึ่งวันก้าวย่างมาเป็น 7 ปีที่อยู่ที่นี่ได้สัมผัสถึงถิ่นผู้กล้าผญาผานองจริงๆ ได้สอนนักเรียนรุ่นแล้วรุ่นเล่า มีคำพูดหนึ่งเคยพูดกับ ท่าน ผอ.เสรี พิมพ์มาศ ว่าผมอยากไปเป็นครูโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะจะได้มีลูกศิษย์เป็นนายตำรวจนายทหารทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ท่านตอบมาว่า “ผอ.เป็นครูที่นี่ผอ.มีลูกศิษย์มากมายหลายอาชีพกว่าอีกมีทั้งหทารตำราจ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ช่างใหญ่ พ่อค้า รวมไปถึงผู้ร้ายโจร ก็เป็นลูกศิษย์เรา เรามีดีกว่าเขาเยอะ” ถึงวันนี้เลยรู้ว่าใช่ เราอยู่ปัวนี่มีลูกศิษย์มากมายจริงๆ ไปไหนในอำเภอปัวนี้มีคนรู้จักทักทายมากมาย เวลากลับบ้านที่เวียงสา ยังไม่รู้จักใครเท่ากับปัวเลย ไปตลาดก็เจอป้าๆ ที่ขายอาหารทักทายกันทุกวันมีทั้งแจกทั้งแถม ไปเที่ยวไหนก็มีคนยกมือไหว้ลูกศิษย์ลุกหามากมาย แต่ที่ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ก็คือน้ำตก คนปัวคงรู้ว่าครูไม่ค่อยไปน้ำตกกันนักเพราะเหตุผลอะไรคงเดาได้ ตอนเย็นๆ ขับรถมอเตอร์ไซต์เล่นรอบเมืองปัว ไปบ้านร่องแง ออกบ้านโจ้โก้ ออกบ้านสถานบ้านบอน กลับเข้าบ้านนาป่าน บ้านร้อง หรือวันว่าง ไปเที่ยวบ่อปลาครูเดชา ชมทุ่งนาเขียวขจี คนปัวถึงมีที่ทำการเกษตรน้อยแต่ก็ทำคุ้มทำแบบที่ดินร้องไห้เลยเพราะว่าคนปัวขยันมาก ปลูกข้าวเสร็จแล้วก็ปลูกข้าวโพดหวาน หรือ มะเขือม่วง ต่อเลย ประทับใจที่ได้ขับรถไปเยี่ยมเยียนบ้านนักเรียนแทบทุกหมู่บ้าน สกาดก็ยังไป แต่บ้านห้วยปู๊ด นี่ไมได้ไปต้องไปให้ได้ พอไปแล้วผู้ปกครองก็ฝากของติดไม้ติดมือมาบางครั้งก็เป็นน้ำใจของท่านที่มอบให้เรา ก็บอกว่าผมอยู่บ้านพักคนเดียวเอาไปก็กินไม่หมดแต่ท่านก็คะยั้นคะยอเอาให้ แต่ที่รับเลยไม่คิดก็คือน้ำปู๊ ถ้าคนรู้จ้กจะรู้ว่าผมชอบกิน มันเป็นความชอบเฉพาะบุคคล และน้ำปู๊ ที่เมืองปัวจะไม่เหมือนเมืองสา เพราะน้ำปู๊ เมืองปัว จะปรุงรส เสร็จเลย จะมีรส เผ็ด เค็ม ในตัวเลยแต่ของเมืองสา จะไม่มีรสชาติเผ็ดเค็ม มีแต่รส น้ำปู และที่ประทับใจเรื่องนี้อีกอย่างคือ เขาจะบอกเลยว่าครูปูที่เอามาทำนี่ไม่ใช่ปูในนาที่ใส่สารพิษ ปลอดสารพิษ 100 เปอร์เซ็น นี่แหละน้ำใจไมตรีของชาวปัว ผมมาสอนที่นี่ตอนนั้นอาคารชาวดงยังคงเป็นเพิงไม้เก่าๆ ที่มีตำนานเล่าสืบต่อมานานมากจำได้ว่าผมเป็นครูที่ปรึกษาที่ให้นักเรียนเอาตะไคร้ ข่า สะระเหน่ มาปลูกประดับห้อง เปลี่ยนเวรกันลดน้ำ ห้องอื่นปลูกดอกไม้แต่ที่นี่ปลูกผักกินได้ เดี๋ยวนักเรียนก็วิ่งมาฟ้องบอก ตะไคร้หายไปบ้าง เราก็บอกว่าไม่เป็นไร ของเรานี่เอาไว้กิน มันย่อมหายไปบ้างก็เราจงใจปลูกเพื่อกินนี่ นักเรียนรุ่นนี้ ณ ปีนี้ เรียนมหาวิทยาลัย ปี 1 กันแล้ว บางคนยังไปเป็นเจ้าของรถขนดินมีครอบครัวไปแล้วยังทักทายกันอยู่
            อีกเรื่องที่ประทับใจน้ำใจคนเมืองปัวก็เรื่องตอนเราไปแข่งชิงช้าสวรรค์ เราเข้ารอบมาแล้วเราไม่มีเงินเหลือจะไปรอบต่อไป เราก็ประชุมกันทั้งโรงเรียนบอกว่าเราขอผู้ปกครอง เราก็ไปซื้อ สลากกินแบ่งรัฐบาลมาปึกใหญ่มาถ่ายเอกสารเลขทั้งหมด แล้วเอาไปขายเป็นหุ้นๆ ให้ผู้ปกครองท่านมอบเงินที่ซื้อนี่ให้กับเราท่านก็รู้แหละว่ามันคงไม่ถูกรางวัลใหญ่ๆ ที่เราบอกว่าจะแบ่งตามหุ้นหลอกท่านเพียงแค่อยากช่วยลูกหลานชาวปัว ให้มีชื่อเสียงระดับประเทศ เราก็ทำได้แค่รอบ 8 ทีมก็ภูมิใจมากนะครับ เราได้เหนื่อยด้วยกัน เข้าค่ายนักเรียนตอนเย็นมาผู้ปกครองทำอาหารมาให้ลูกๆ หลานๆ ที่ซ้อมดนตรีเราก็มีกำลังใจขึ้น น้ำใจคนอำเภอปัวมากล้นเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ ดังนั้นรักเมืองปัวให้มากๆ เพราะอำเภอนี้น่าอยู่